เมื่อก่อนผมเคยทำไร่เลื่อนลอย เหมือนชาวอาข่าคนอื่นๆ แต่ข้าวในไร่
และข้าวโพดในไร่มีเหลือให้เก็บเกี่ยวน้อยลงทุกปี ครั้งหนึ่งในไร่ผมมแต่หญ้าให้เกี่ยว ผมก็ต้องหาของป่าไปขาย ปลีกล้วยเอย หน่อไม้เอยหวายเอย เดินลงจากดอยไปยี่สิบสามกิโลเพื่อไปขายของป่าในตัวเมืองเชียงราย นั่งขายไม่ทันไรก็ค่ำ ขายได้บ้างไม่ได้บ้างก็ต้องรีบเดินทางกลับ
ภาวะหาเช้าไม่ทันกินค่ำทำให้ผมเริ่มมองหาอาชีพอื่นที่จะเ
ลี้ยงดูครอบครัวได้
โชคดีที่อาแปไม่ต้องมองไปที่ไหนไกลตัวนัก เขามองเห็นหนทางของชีวิตบนดอยฮาง
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของเขาและชาวอาข่าอีก4-5ครอบครัวนั่นเอง
หนึ่งผมเห็นไกด์พาชาวต่างชาติมาเยี่ยมชมหมู่บ้าน ผมก็ไปเลียบๆเคียงๆ
ขอให้เขาช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ผมสักสองคำ
สองคำที่ผมถามเขาคือ นี่อะไร กับนั่นอะไร เขาสอนว่า
What’s this? กับ What’s that? ผมจำสองคำนี้ไว้ขึ้นใจแล้วนำ
ไปถามชาวต่างชาติคนอื่นต่อไปเรื่อยๆ เช่น หยิบขวดน้ำมาถามว่า What’sthis? เขาก็ตอบว่า A bottle of water บางทีชี้ไปที่น้ำตกแล้วถามว่า
What’s that? เขาก็ตอบว่า Water fall จากสองประโยคสั้นๆนี
ทำให้ผมรู้ภาษาอังกฤษจนพอจะสื่อสารกับชาวต่างชาติได้
แม้จะไม่ค่อยมั่นใจในหนทางใหม่ของชีวิตนัก แต่อาแปก็พาหัวใจ
ที่หนักแน่นราวภูเขาลงจากดอยไปทำงานตามเกสเฮ้าส์
ในตัวเมืองเชียงราย เมื่อว่างจากงานเก็บกวาดห้องพักหรือล้างห้อง
น้ำเขาอาสาเป็นลูกหาบติดสอยห้อยตามมัคคุเทศก์ที่พาชาวต่างชาติ
ไปเดินป่าระหว่างนั้นอาแปก็ได้ฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติม
และได้สั่งสมประสบการณ์การเป็นมัคคุเทศก์มากขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนแรกผมยังกล้าๆกลัวๆ ไม่แน่ใจว่าเราลงจากดอยแล้วเราจะ
ไปรอดไหม เราจะเป็นไกด์ได้หรือเปล่า แต่คิดแล้วว่าเราไม่มีอะ
ไรจะเสียทำไร่ทำสวนอยู่บนดอยต่อไปก็ไม่พอกินอยู่ดี ลอง
ไปเรียนรู้ดูซักตั้ง ถ้าไม่ไหวค่อยกลับมาทำไร่เหมือนเดิมก็ได้ ”
“ผมแบกความหวังของครอบครัวและชาวบ้านคนอื่นๆลง
จากดอยมาด้วย ทุกคนรอลุ้นว่าอาแปจะไปรอดไหม ถ้าผมกลับดอยตัวเปล่าก็ถือ
ว่าเสียหน้า เพราะทำให้ทุกคนผิดหวัง”
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน อาแปไม่เสียหน้าอย่างที่หวาดหวั่น
เขาขยับจากตำแหน่งลูกหาบมาเป็นมัคคุเทศก์เต็มตัว สามารถ
หารายได้เลี้ยงครอบครัวได้ไม่ลำบากเหมือนที่เคย
“ตัวผมและครอบครัวผมนี่รอดแล้ว แต่คำถามคือ
ผมจะเอาตัวรอดคนเดียวไม่ได้ ทำอย่างไรคนอาข่าบนดอยจะมีรายได้เหมือนผม”.
“บังเอิญมีชาวต่างชาติที่ผมพามาเยี่ยมชมหมู่บ้านถามว่า
“อาแป ฉันจะกลับมาอยู่บ้านคุณอีกได้ไหม” ผมตอบว่า
“ไม่ได้หรอกครับหมู่บ้านผมไม่มีห้องพัก” ผมปฏิเสธเขาก็จริง
แต่คำถามของชาวต่างชาติคนนั้นจุดประกายความคิดเรื่อง
การทำโฮมสเตย์แก่ผมเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้”
อาแปใช้เงินเก็บสองหมื่นหกพันบาท
สร้างห้องพักขึ้นมาสามห้อง เริ่มเปิดบริการแก่
นักท่องเที่ยวที่มาเดินป่า ชมไร่ชา ศึกษาวิถีชีวิตชนเผ่าอาข่า
โดยเก็บค่าที่พักห้องละสี่สิบบาทต่อคืน
“รายได้ค่าที่พักคืนละสี่สิบบาทนั้น ผมหักสิบเปอร์เซ็นต์
ไปช่วยเหลือหมู่บ้าน ส่วนชาวบ้านก็มีรายได้จากการขายผล
งานหัตถกรรม นวดแผนโบราณ หรือเป็นผู้ช่วยไกด์ เมื่อก่อน
เราเคยอยู่กินกับป่า เราก็พาชาวต่างชาติฝึกดำรงชีวิตในป่า
มีมีดติดตัวคนละเล่ม ฝึกหุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ ฝึกสร้าง
ที่พักด้วยใบตองแบบผีตองเหลือง ชาวต่างชาติประทับใจ
|
การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติมาก”
วิถีชนเผ่า วิถีธรรมชาติ และการบริการที่เป็นกันเอง ทำ
ให้อาข่าฮิลล์เฮ้าส์เป็นที่รู้จักแบบปากต่อปาก และมีข้อมูลอยู่ในคัมภีร์นักแบกเป้
อย่างหนังสือ Lonely Planet จนโด่งดังไปทั่วโลก
ผมประชาสัมพันธ์ด้วยการแจกแผ่นพับไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมีแขกชาวต่างชาติบอกว่า” อาแป ลอง
ทำเว็บไซต์ไหม แผ่นพับมันไปได้ไม่ไกลนะ |
|
”ตอนนั้นผม งง มากได้แต่ถามกลับไปว่าเว็บไซต์คืออะไรครับอาแปไม่รู้จัก
เขาตอบว่า เว็บไซต์คือการที่อาแปเข้าไปในคอมพิวเตอร์ ซื้อพื้นที่ ซื้อชื่อ
และใส่รายละเอียดเกี่ยวกับอาข่าฮิลล์ลงไป เว็บจะหาลูกค้าให้ อาแป
ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่ อาแป ไม่ต้องไปตระเวรแจกแผ่นพับเลย
ผมเห็นว่าเข้าท่าก็เลยเรียนเขียนเว็บไซต์ www.akhahill.com
จึงเกิดขึ้นจากฝีมือผมตั้งแต่นั้น
|
ผลพวงจากเว็บไซต์ออนไลน์ทำให้บริษัท
จากประเทศอังกฤษติดต่อ
พานักเรียนแลกเปลี่ยนวัมนธรรมเข้า
มาทำกิจกรรมที่อาข่าฮิลล์ปีละสี่ร้อย
กว่าคน ลร้างรายได้ไห้ประเทศไทยปีละ
ร้อยกว่าล้าน ถ้าไม่มีอาข่าฮิลล์
เขาอาจไปทำกิจกรรมที่ลาวหรือเวียดนาม ประเทศไทยเราอาจเสียโอกาสไปก็ได้ |
ผลงานด้านการท่องเที่ยวของอาแป
เป็นที่ประจักษ์ เขาได้รับคัดเลือก
เป็นมัคคุเทศก์ดีเด่นแห่งประเทศไทย
(รางวัลกินรี) ประจำปี พ.ศ. 2549
วันนั้นเขาขึ้นรับรางวัลในชุดประจำเผ่า
ที่สะดุดตาและสง่างาม
หัวใจของธุรกิจท่องเที่ยวคือการบริการ |
|
และที่ขาดไม่ได้คือเอกลักษณความเป็นชนเผ่าของเรา เสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไห้ข้ามน้ำข้ามทะเลขึ้นมาถึงดอยฮางก็คือวิถี
ของชาวอาข่าที่กินนอนเรียบง่ายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ”
อาข่าฮิลล์เฮ้าส์กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
พร้อมๆกับที่อาแปก้าวไปถึงจุดหมายของชีวิต แต่มัคคุเทศก์ชาวอาข่า
ผู้ที่สื่อสารได้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น และภาษาชนเผ่า
ผู้นี้ไม่เคยลืมว่า ระหว่างการเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาแห่งชีวิตนั้น เขาพลาด
สิ่งสำคัญอะไรไป
“ตัวผมเองไม่เคยใส่ชุดนักเรียน เลยซักครั้งในชีวิต ผมจึงอยากให้เด็กๆ
ได้เรียนดีๆ โตขึ้นมาลูกหลานชาวอาข่าจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนผม”
ผมตั้งโครงการการศึกษาอาข่าฮิลล์ แล้วดั้นด้นไปหาทุนการศึกษา
ถึงมหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับความช่วยเหลือจาก
นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่เคยมาพักที่นี่ ส่วนรายได้สิบเปอร์เซ็นต์ที่เคย
ช่วยเหลือหมู่บ้าน ผมก็นำมาสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนบ้านโป่งน้ำ
ร้อนแทน
“นอกจากนี้ อาข่าฮิลล์ยังมีที่พักฟรีและอาหารฟรีสำหร
ับครูอาสาสมัครสอนภาษาอังกฤษ ผมรู้ดีว่าภาษาอังกฤษสำคัญต่อชีวิตมากจึงอยากส่งเสริมให้เด็กและชาว
บ้านที่นี่มีอนาคตที่ดี เพื่อในอนาคตจะได้กลับมาช่วยพัฒนาหมู่บ้านของเรา”
“หากมองไปข้างหน้าอีกสิบปีหรือยี่สิบปี ผมกลัวว่าถ้าเราไม่ให้การศึกษา
จะไม่มีชาวอาข่าเหลืออยู่เลย เพราะเด็กที่ไม่มีการศึกษาจะต้อง
ไปรับจ้างทำงานในกรุงเทพฯ บ้างมีครอบครัวแล้วก็ไม่กลับมาบนดอย
ไม่กลับมาเป็นชาวอาข่า”
“แต่ถ้าพวกเขามีการศึกษา พวกเขาอาจเป็นครูอยู่ในตัวเมืองเชียงราย
เป็นไกด์อยู่ในหมู่บ้าน อย่างน้อยก็ยังผูกพันกับปู่ย่าตายาย ยังคง
ใช้ชีวิตตามวิถีชนเผ่าอย่างภาคภูมิใจ เหมือนผมในตอนนี้”
จากเด็กชายผู้ไม่เคยฝันจะได้ปั่นจักรยาน วันนี้เขามีรถกระบะ
ขับขึ้นดอย-ลงดอย
จากเด็กชายผู้ไม่เคยสวมใส่ชุดนักเรียน วันนี้เขาสวมชุดชนเผ่า
ยืนบรรยายให้ความรู้แก่นักศึกษาวิชาธุรกิจการท่องเที่ยว
จากที่เคยหาบของป่าไปขาย วันนี้เขาอดไม่ได้ที่จะช่วย
ซื้อหน่อไม้จากแม่ค้าชนเผ่า โดยไม่คิดจะต่อรองราคา
จากที่เคยเริ่มต้นชีวิตด้วยคำถาม What’s this? What’s that?
บัดนี้ มัคคุเทศก์ชาวอาข่าไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำถามเหล่านี้อีก
ต่อไป เพราะอาแป อามอ พบกับคำตอบที่ค้นหามานานแล้วว่า
คำตอบของชีวิต…อยู่ที่การไม่ยอมจำนนต่อลิขิตของฟ้าดิน
|